ในสถานประกอบการที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแรงสั่นสะเทือนสูง เช่น งานในโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง หรือการใช้อุปกรณ์เครื่องจักรที่ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือน หากไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้
แรงสั่นสะเทือนคืออะไร?
แรงสั่นสะเทือน (Vibration) หมายถึง การเคลื่อนที่ของวัตถุหรือร่างกายในลักษณะที่สั่นสะเทือนกลับไปกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- แรงสั่นสะเทือนเฉพาะที่ (Hand-Arm Vibration – HAV): เกิดจากการใช้อุปกรณ์ที่ต้องถือหรือสัมผัสโดยตรง เช่น เครื่องเจาะคอนกรีต เครื่องเจียร
- แรงสั่นสะเทือนทั้งตัว (Whole-Body Vibration – WBV): เกิดจากการนั่งหรือยืนบนพื้นผิวที่สั่น เช่น การขับรถบรรทุกหรือเครื่องจักรกลหนัก
ผลกระทบแรงสั่นสะเทือนต่อสุขภาพ ของพนักงาน
แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพดังนี้:
1. ผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนเฉพาะที่ (HAV)
-
- โรคระบบประสาทและหลอดเลือด (Hand-Arm Vibration Syndrome – HAVS): ทำให้เกิดอาการชา ปวด และกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะในบริเวณมือและแขน
- โรคเรย์นอส์ (Raynaud’s Phenomenon): หลอดเลือดในนิ้วมือหดตัว ทำให้มีอาการนิ้วซีดหรือเขียวเมื่อสัมผัสกับความเย็นหรือแรงสั่นสะเทือน
- เส้นประสาทและกล้ามเนื้อเสียหาย: เช่น อาการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
2. ผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนทั้งตัว (WBV)
-
- ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง: แรงสั่นสะเทือนอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือเสื่อม
- อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ: เช่น ปวดหลังส่วนล่างและสะโพก
- ความผิดปกติของระบบประสาท: อาการวิงเวียนศีรษะ อ่อนล้า และการมองเห็นที่ผิดปกติ
ผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน ดังนี้:
- ลดความแม่นยำในการทำงาน: การใช้งานเครื่องมือที่สั่นสะเทือนอาจ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรืออุบัติเหตุ
- เพิ่มความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจ: ส่งผลต่อสมาธิและการตัดสินใจ
- ลดประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม: เมื่อพนักงานต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนเป็นเวลานาน อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
กฎหมายและมาตรฐานเกี่ยวกับแรงสั่นสะเทือน
หลายประเทศได้กำหนดมาตรฐานและข้อกำหนดเพื่อป้องกันผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ตัวอย่างเช่น:
- มาตรฐานสากล ISO 5349: ระบุค่าขีดจำกัดของแรงสั่นสะเทือนเฉพาะที่
- European Directive 2002/44/EC: กำหนดระดับแรงสั่นสะเทือนที่ยอมรับได้ในที่ทำงาน
- ISO 2631: เป็นมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการประเมินแรงสั่นสะเทือน ที่มีผลต่อร่างกาย
- ISO 5349: ระบุข้อกำหนดสำหรับการประเมินแรงสั่นสะเทือนเฉพาะที่
- มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย: เช่น มาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment – PPE)
วิธีการป้องกันและลดผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ในการทำงาน
การป้องกันและลดผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ในการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของสามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้ :
1. ปรับปรุงสถานที่ทำงาน
-
- เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีระบบลดแรงสั่นสะเทือน: เช่น เครื่องมือที่ติดตั้งระบบกันสั่นสะเทือน
- ปรับปรุงพื้นที่ทำงาน: เช่น การใช้วัสดุดูดซับแรงสั่นสะเทือนใต้พื้น
2. จัดการเวลาและพฤติกรรมการทำงาน
-
- ลดระยะเวลาการทำงานต่อเนื่องกับอุปกรณ์ที่สั่นสะเทือน: แบ่งช่วงเวลาพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
- เปลี่ยนท่าทางการทำงาน: เพื่อลดแรงกระทำต่อร่างกาย
3. ใช้เครื่องมือป้องกันส่วนบุคคล (PPE)
-
- ถุงมือกันสั่นสะเทือน: ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านมือและแขน
- เบาะรองนั่งกันสั่นสะเทือน: สำหรับผู้ที่ต้องขับเครื่องจักรกลหนัก
4. จัดให้มีตรวจสุขภาพและการฝึกอบรม พนักงาน
-
- การตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
- การฝึกอบรม: ให้พนักงานมีความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากแรงสั่นสะเทือนและวิธีการป้องกัน
หากคุณต้องการทราบว่า จป บริหาร มีบทบาทหน้าที่อย่างไรที่ต้องทำในสถานประกอบการ เนื้อหาเหล่านี้ได้มีการจัดเตรียมสอนไว้ในหลักสูตร อบรม จป บริหาร 12 ชม ระยะเวลาตามข้อกำหนดของกฎหมาย พร้อมมอบวุฒิบัตรให้ผู้เข้าอบรมทุกท่าน
สรุป
แรงสั่นสะเทือนในที่ทำงานเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน และความปลอดภัยในสถานประกอบการ การจัดการและป้องกันแรงสั่นสะเทือนด้วยวิธีการที่เหมาะสม เช่น การใช้เครื่องมือที่ลดแรงสั่นสะเทือน การใช้ PPE และการฝึกอบรมพนักงาน สามารถช่วยลดความเสี่ยงและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงาน ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น