การทำงานในที่อับอากาศ (Confined Space) เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อชีวิตและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอันตรายของก๊าซพิษ ก๊าซติดไฟ และภาวะขาดออกซิเจน ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้เครื่องตรวจวัดก๊าซจึงมีความสำคัญ
เครื่องตรวจวัดก๊าซสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ เครื่องตรวจวัดก๊าซแบบ 1-in-1 หรือที่เราเรียกว่า Single Gas Detector และเครื่องตรวจวัดก๊าซแบบหลายชนิด (Multi-Gas Detector) ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติ ข้อดี ข้อเสีย และค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน บทความนี้จะวิเคราะห์เปรียบเทียบเครื่องทั้งสองประเภท พร้อมข้อเสนอแนะในการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของการทำงานในที่อับอากาศ
วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียเครื่องวัดก๊าซ แต่ละประเภท
1. เครื่องตรวจวัดก๊าซแบบ Single Gas Detector
Single Gas Detector คือ อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อวัดก๊าซเพียงชนิดเดียว เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S), คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ออกซิเจน (O2) หรือวัดค่าการระเบิดของก๊าซเชื้อเพลิง (LEL) เครื่องมักมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก ราคาประหยัด ใช้งานง่าย และมักใช้แบตเตอรี่ได้นาน
ตัวอย่างเครื่องที่ใช้กันทั่วไป เช่น:
- BW Clip ((H₂S, CO)
- MSA Altair
- Dräger PAC Series
ข้อดี:
- ราคาเริ่มต้นต่ำกว่าเครื่องแบบ Multi-Gas
- ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
- แบตเตอรี่อยู่ได้นานถึง 2 ปี (แบบไม่สามารถชาร์จได้)
- เหมาะกับการใช้งานเฉพาะจุดที่ทราบความเสี่ยงชัดเจน
ข้อเสีย:
- ตรวจวัดได้เพียงค่าก๊าซเดียว
- ต้องใช้อุปกรณ์หลายตัวหากต้องวัดหลายค่าพร้อมกัน
- ไม่เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงจากหลายก๊าซ
2. เครื่องตรวจวัดก๊าซแบบ Multi-Gas Detector
Multi-Gas Detector คือ อุปกรณ์ที่สามารถตรวจวัดก๊าซได้พร้อมกันหลายชนิด โดยส่วนใหญ่มาตรฐานคือวัดได้ 4 ค่า ได้แก่ ออกซิเจน (O2), คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S), และ LEL (Lower Explosive Limit) นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่ม Sensor สำหรับก๊าซเฉพาะอื่นๆ เช่น SO2, NH3, CH₄ ได้ในบางรุ่น
ตัวอย่างเครื่องที่ใช้กันทั่วไป:
- BW GasAlert MicroClip XL
- RAE Systems MultiRAE
- Dräger X-am 2500 / 5000
- MSA Altair 4X
ข้อดี:
- ตรวจวัดก๊าซได้พร้อมกันหลายชนิด
- ครอบคลุมความเสี่ยงในที่อับอากาศได้มากกว่า
- มีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติแบบเสียง ไฟกระพริบ และสั่น
- เหมาะกับการตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนเข้าทำงานและขณะทำงาน
ข้อเสีย:
- ราคาสูงกว่ารุ่น Single Gas
- ต้องบำรุงรักษาและสอบเทียบ (Calibration) บ่อยกว่า
- แบตเตอรี่อาจอยู่ได้สั้นกว่ารุ่น Single Gas
- มีความซับซ้อนในการใช้งานบางฟังก์ชัน
ตารางการเปรียบเทียบเครื่องวัดก๊าซในเชิงวิชาการ
คุณสมบัติ | Single Gas Detector | Multi-Gas Detector |
---|---|---|
จำนวนก๊าซที่ตรวจวัด | 1 ชนิด | 4-5 ชนิดหรือมากกว่า |
ขนาด | เล็กกว่า | ใหญ่กว่าเล็กน้อย |
ความซับซ้อน | ต่ำ | ปานกลางถึงสูง |
ความแม่นยำ | สูง (สำหรับก๊าซเดียว) | สูง (โดยเฉพาะรุ่นมาตรฐาน) |
การบำรุงรักษา | น้อย | มากกว่า (สอบเทียบหลายเซนเซอร์) |
ค่าใช้จ่าย | ต่ำ (5,000 – 15,000 บาท) | สูง (20,000 – 80,000+ บาท) |
ความเหมาะสมในที่อับอากาศ | น้อย (เฉพาะกรณีรู้ความเสี่ยงชัดเจน) | สูง (ตรวจวัดครอบคลุมหลายความเสี่ยง) |
หมายเหตุ : เครื่องตรวจก๊าซ ก่อนนำไปตรวจไม่ว่าจะเป็นประเภทไหนต้องนำไปสอบเทียบตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการตรวจเทียบเครื่องมือว่ามีค่าแม่นยำหรือไม่
ออกซิเจนปกติในอากาศควรอยู่ที่ 20.9% หากต่ำกว่า 19.5% ถือว่าอันตราย ต้องรีบออกจากพื้นที่ทันที
ข้อเสนอสำหรับการเลือกใช้งานในพื้นที่อับอากาศ
การเลือกอุปกรณ์ตรวจวัดก๊าซในที่อับอากาศควรพิจารณาตามปัจจัยต่อไปนี้:
1. ประเภทของความเสี่ยงที่มีอยู่
หากพื้นที่อับอากาศมีประวัติหรือโอกาสในการเกิดก๊าซหลายชนิด เช่น แท็งค์น้ำเสีย, บ่อบำบัด, หรือห้องใต้ดิน การเลือก Multi-Gas Detector จะเหมาะสมกว่า
2. งบประมาณที่สามารถจัดสรรได้
แม้ Multi-Gas Detector จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ก็ให้ความคุ้มค่าด้านความปลอดภัยมากกว่า โดยเฉพาะสำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีหลายคนเข้าปฏิบัติงานร่วมกัน
3. ความถี่ในการใช้งาน
สำหรับองค์กรที่มีการปฏิบัติงานในที่อับอากาศเป็นประจำ ควรลงทุนกับเครื่อง Multi-Gas Detector ที่สามารถสอบเทียบและเปลี่ยนเซนเซอร์ได้ ส่วนองค์กรที่ใช้งานไม่บ่อย อาจพิจารณาใช้เครื่อง Single Gas แบบใช้งานได้จำกัดเวลา (Disposable Type)
4. ความสามารถของผู้ใช้งาน
ผู้ปฏิบัติงานควรได้รับการอบรมที่อับอากาศ เพื่อฝึกการใช้งานอุปกรณืเกี่ยวกับที่อับอากาศ และอ่านค่าจากอุปกรณ์อย่างถูกต้อง Multi-Gas Detector บางรุ่นมีระบบ Interface ที่ต้องการความเข้าใจในการตั้งค่าเบื้องต้น
5. การบำรุงรักษาและสอบเทียบ
เครื่อง Multi-Gas Detector ต้องการการสอบเทียบสม่ำเสมอทุก 6 เดือน หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต โดยใช้ก๊าซสอบเทียบเฉพาะ และต้องดูแลเซนเซอร์ไม่ให้เสื่อมสภาพ ขณะที่เครื่อง Single Gas บางรุ่นอาจไม่สามารถสอบเทียบได้ (เป็นแบบ Disposable)
สรุป
การตรวจวัดก๊าซในที่อับอากาศเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรง การเลือกเครื่องตรวจวัดก๊าซจึงไม่ควรพิจารณาเพียงด้านราคา แต่ควรคำนึงถึงความครอบคลุมของค่าที่ต้องตรวจวัด ความสะดวกในการใช้งาน ความสามารถในการบำรุงรักษา และความเข้าใจของผู้ใช้งานด้วย
หากพื้นที่อับอากาศมีความเสี่ยงจากก๊าซหลายชนิด หรือไม่สามารถระบุล่วงหน้าได้ว่ามีก๊าซใด การเลือกใช้เครื่อง Multi-Gas Detector คือคำตอบที่เหมาะสมกว่า ในขณะที่เครื่อง Single Gas Detector อาจเหมาะกับสถานการณ์เฉพาะทางที่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ และต้องการควบคุมงบประมาณ
การเลือกใช้งานเครื่องตรวจวัดก๊าซที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตผู้ปฏิบัติงาน ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และส่งเสริมให้การทำงานในที่อับอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากการเลือกเครื่องตรวจวัดก๊าซแล้วผู้ปฏิบัติงานในที่อับอากาศ ต้องเรียนรู้ทักษะการอ่านเครื่องมือ และการใช้อุปกรณ์อื่นสำหรับงานที่อับอากาศให้เข้าใจหลักการทำงานของมันก่อน ผ่านการเข้าอบรมที่อับอากาศ เราขอแนะนำศูนย์ฝึกอบรมที่อับอากาศ ที่ Safetymember ศูนย์ฝึกอบรมความปลอดภัย พร้อมทีมวิทยากรมืออาชีพ สามารถอ่านรายละเอียดหลักสูตรได้ที่นี้
หลักสูตร : สมัครอบรมอับอากาศ 4 ผู้
ติดต่อสอบถาม : (064) 958 7451 คุณแนน
เอกสารอ้างอิง:
- OSHA. (2023). Confined Spaces. Occupational Safety and Health Administration.
- NIOSH. (2022). Criteria for a Recommended Standard: Working in Confined Spaces. National Institute for Occupational Safety and Health.
- BW Technologies by Honeywell. (2022). Product Manuals and Technical Specifications.
- Dräger Safety. (2023). Gas Detection Equipment Specifications and Use Guide.
- MSA Safety. (2023). Multi-Gas and Single-Gas Detector Product Documentation.
- สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย). (2564). คู่มือการทำงานในที่อับอากาศ.
บทความที่น่าสนใจ
- เนื้อหาหลักสูตรการทำงานที่อับอากาศ 4 ผู้ ตามกฎหมายกำหนด
- Work Permit กระบวนการขออนุญาตทำงานเสี่ยงอันตราย
- หลักสูตรการอบรม Confined Space คืออะไร เหตุใดจึงมีความสำคัญ
- ค่า KPI คืออะไร รู้จักตัวชี้วัดที่ช่วยลดอุบัติเหตุในองค์กร