พื้นที่อับอากาศ (Confined Space) เป็นหนึ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงต่อชีวิตของผู้ปฏิบัติงานและผู้เข้าช่วยเหลือ หากไม่มีการวางแผนและฝึกอบรมอย่างถูกต้อง สถิติจากหลายประเทศทั่วโลกพบว่า ผู้เสียชีวิตในที่อับอากาศมักไม่ใช่เพียงผู้ประสบเหตุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่พยายามเข้าช่วยโดยปราศจากความพร้อมและอุปกรณ์ที่เหมาะสม การช่วยเหลือในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องของความกล้าหาญ หากแต่ต้องอาศัยหลักการ ความรู้ ความเข้าใจ และการเตรียมพร้อมที่เป็นระบบ
ความหมายของพื้นที่อับอากาศ
ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับพื้นที่อับอากาศ พ.ศ. 2547 ได้ให้คำนิยามของ “พื้นที่อับอากาศ” ไว้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีทางเข้าออกจำกัด การระบายอากาศไม่ดี และไม่เหมาะแก่การปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ถังเก็บสารเคมี ท่อใต้ดิน บ่อพัก ปล่องหม้อไอน้ำ ฯลฯ
ลักษณะสำคัญของพื้นที่อับอากาศคือ อาจมีภาวะอากาศที่เป็นอันตราย เช่น ออกซิเจนต่ำ มีก๊าซพิษ หรือมีวัตถุไวไฟ ซึ่งสามารถคร่าชีวิตผู้ปฏิบัติงานได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
มากกว่า 60% ของผู้เสียชีวิตในที่อับอากาศ เป็น “ผู้ที่พยายามเข้าช่วยเหลือ” โดยไม่มีการเตรียมพร้อม (OSHA, 2015)
หลักการในการวางแผนช่วยเหลือฉุกเฉิน ในที่อับอากาศ
การวางแผนช่วยเหลือในที่อับอากาศต้องพิจารณาจากหลัก “ไม่เสี่ยงเพิ่ม” กล่าวคือ ผู้เข้าช่วยต้องไม่กลายเป็นเหยื่อคนถัดไป ดังนั้น การวางแผนที่ดีต้องประกอบด้วย:
1. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
ก่อนการเข้าช่วย ต้องมีการประเมินสถานการณ์ เช่น:
-
พื้นที่อับอากาศประเภทใด
-
มีสารเคมีตกค้างหรือไม่
-
ปริมาณออกซิเจนเพียงพอหรือไม่
-
มีระบบไฟฟ้าหรือกลไกที่อาจก่ออันตรายหรือไม่
การประเมินนี้ต้องกระทำอย่างรวดเร็วแต่ครอบคลุม เพื่อกำหนดกลยุทธ์การช่วยเหลือที่เหมาะสม
2. การจัดเตรียมแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Emergency Response Plan)
แผนดังกล่าวควรระบุ:
-
หน่วยงานรับผิดชอบ
-
บุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรม
-
ขั้นตอนการติดต่อหน่วยกู้ภัยภายนอก
-
ขั้นตอนการใช้อุปกรณ์กู้ชีพ
-
จุดรวมพลและจุดช่วยเหลือ
3. การฝึกซ้อม (Drill)
การฝึกซ้อมช่วยเหลือฉุกเฉินในพื้นที่อับอากาศต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพร้อม ใช้อุปกรณ์ได้คล่องตัว และลดความผิดพลาดในสถานการณ์จริง
เทคนิคการใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตในที่อับอากาศ
1. ชุดกู้ชีพ (Rescue Harness)
ชุดกู้ชีพแบบ Full Body Harness ถูกออกแบบมาให้รองรับน้ำหนักตัวของผู้ประสบเหตุ ช่วยให้สามารถดึงขึ้นจากพื้นที่อับอากาศได้อย่างปลอดภัย ควรเลือกแบบที่มี D-Ring ด้านหลังและด้านหน้า และควรมีสายรัดต้นขาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บระหว่างลากตัวขึ้น
2. ขาตั้งทรงสามขา (Tripod)
Tripod เป็นโครงสร้างแบบพับได้ที่วางเหนือปากทางของพื้นที่อับอากาศ ใช้ร่วมกับ Winch เพื่อดึงตัวผู้ประสบเหตุขึ้นอย่างปลอดภัย โครงสร้างของ Tripod ต้องมีความมั่นคง และวางบนพื้นเรียบที่ไม่ลื่น
3. วินช์ (Winch)
Winch ใช้หมุนเพื่อดึงหรือหย่อนสายเคเบิลที่เชื่อมกับ Harness มีทั้งแบบหมุนมือและแบบไฟฟ้า ต้องเลือกให้เหมาะกับน้ำหนักของผู้ที่ต้องช่วยเหลือ และต้องมีระบบล็อกเพื่อป้องกันการตกกระแทก
4. เครื่องช่วยหายใจชนิดมีถังอากาศ (SCBA – Self-Contained Breathing Apparatus)
SCBA จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ช่วยเหลือที่ต้องลงไปในพื้นที่ที่มีอากาศเป็นพิษ หรือมีปริมาณออกซิเจนต่ำ การใช้ SCBA ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจัง เพราะการใช้งานที่ผิดพลาดอาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน
ทำไมเข้าช่วยโดยไม่เตรียมพร้อมอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม?
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยคือการ “รีบลงไปช่วยทันที” โดยไม่วิเคราะห์สถานการณ์ เช่น เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานหมดสติอยู่ในถังน้ำมัน ผู้พบเห็นมักรีบลงไปช่วยทันทีโดยไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ทำให้สูดก๊าซพิษเข้าไปจนหมดสติตาม และสุดท้ายเสียชีวิตเป็นลำดับ
จากสถิติของ OSHA (Occupational Safety and Health Administration) สหรัฐอเมริกา ระบุว่าผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในที่อับอากาศประมาณ 60% คือ ผู้ที่พยายามเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ
ดังนั้น การช่วยเหลือที่ปลอดภัยต้องเกิดจากการ:
-
ประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ
-
ใช้อุปกรณ์ป้องกันอย่างถูกต้อง
-
ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ฝึกฝนมา
-
ไม่เสี่ยงลงไปโดยไม่มีการควบคุม
ต้องมีผู้เฝ้าระวังภายนอก: การทำงานหรือช่วยเหลือในที่อับอากาศ ต้องมีผู้คอยสังเกตการณ์ และประสานงานอยู่ด้านนอกตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
แนวทางการฝึกอบรมสำหรับพื้นที่อับอากาศ
การฝึกอบรมเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัยในการทำงานในพื้นที่อับอากาศ โดยงานที่อับอากาศจะทำงานเป็นแบบ 4 ผู้ทำให้ผู้ปฏิบัติงานต้องเรียนรุ็บทบาทหน้าที่ของแต่ละผู้ ในหลักสูตรจึงมีการ ฝึกอบรม 4 ผู้ ที่อับอากาศ ควรรวมถึง:
-
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพื้นที่อับอากาศ
-
การประเมินอันตราย
-
การใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น SCBA, Tripod
-
การจำลองสถานการณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน
-
การสื่อสารและการประสานงาน
การฝึกอบรมควรมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยทีมวิทยากรผู้มีประสบการณ์จริง และผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
บทสรุป
การช่วยเหลือฉุกเฉินในที่อับอากาศเป็นภารกิจที่มีความเสี่ยงสูง หากดำเนินการโดยขาดการเตรียมพร้อม อาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิตเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น ดังนั้น องค์กรควรให้ความสำคัญกับการวางแผน ฝึกซ้อม และอบรมอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนรู้วิธีรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
หากองค์กรของคุณมีการทำงานในพื้นที่อับอากาศ หรือมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ลักษณะนี้ ขอแนะนำให้จัดการฝึกอบรมกับทีมวิทยากรมืออาชีพ จาก Safetymember ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีในการอบรมด้านความปลอดภัยในที่อับอากาศ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์จำลองสถานการณ์จริงครบครัน
ติดต่อเราเพื่อขอใบเสนอราคา หรือปรึกษาหลักสูตรอบรมได้ที่
📞 โทร: (064) 958 7451 คุณแนน
📧 อีเมล: Sale@safetymember.net
🌐 เว็บไซต์: อบรมที่อับอากาศ safetymember
ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรของคุณ เริ่มต้นจากความรู้ที่ถูกต้อง
อ้างอิง
-
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน. (2547). กฎกระทรวงพื้นที่อับอากาศ พ.ศ. 2547.
-
OSHA. (2015). Confined Spaces in Construction – Final Rule. Occupational Safety and Health Administration, U.S. Department of Labor.
-
NIOSH. (1994). Worker Deaths in Confined Spaces: A Summary of NIOSH Surveillance and Investigative Findings.
-
Canadian Centre for Occupational Health and Safety (CCOHS). (2023). Confined Space – Emergency Response.
-
ANSI Z117.1-2022. Safety Requirements for Entering Confined Spaces.
บทความที่น่าสนใจ
- SCBA กับ Air-Line Supply เลือกอุปกรณ์หายใจแบบไหนในที่อับอากาศ
- เนื้อหาหลักสูตรการทำงานที่อับอากาศ 4 ผู้ ตามกฎหมายกำหนด
- เปรียบเทียบเครื่องตรวจวัดก๊าซ Single Gas กับ Multi-Gas เลือกอย่างไรดี