การทำงานในที่สูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมซ่อมบำรุง และอุตสาหกรรมที่ต้องมีการเข้าถึงโครงสร้างสูงต่าง ๆ อุบัติเหตุจากการตกจากที่สูงมักส่งผลรุนแรงถึงชีวิตหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส การป้องกันด้วย Lifeline safety หรือ ระบบเชือกนิรภัยต่อเนื่อง เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน
1. อันตรายจากการตกจากที่สูง
การตกจากที่สูงเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
- ไม่มีระบบป้องกันการตก : การทำงานบนที่สูงโดยไม่มีราวกันตกหรือระบบป้องกันอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย : เช่น พื้นผิวลื่น สภาพอากาศแปรปรวน หรือพื้นที่ทำงานไม่มั่นคง
- อุปกรณ์ไม่เหมาะสมหรือขาดการตรวจสอบ : สายรัดตัว (Full-body Harness) และอุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้การป้องกันล้มเหลว
- ความผิดพลาดของผู้ปฏิบัติงาน : ความประมาท ขาดการฝึกอบรม หรือความเหนื่อยล้า อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- โครงสร้างไม่แข็งแรง : พื้นที่ทำงานที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษา อาจพังถล่มเมื่อรับน้ำหนักมากเกินไป
สถิติการเกิดอุบัติเหตุจากการตกจากที่สูง
– รายงานจาก Occupational Safety and Health Administration (OSHA, 2023) ระบุว่าการตกจากที่สูงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในงานก่อสร้าง
– National Safety Council (NSC, 2023) พบว่าประมาณ 33% ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในที่ทำงานมาจากการตกจากที่สูง
2. ระบบ Lifeline คืออะไร?
Lifeline System เป็นระบบป้องกันการตกที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานเคลื่อนที่ไปตามแนวราบหรือแนวดิ่งได้โดยไม่ต้องปลดเชื่อมต่อจากระบบ หลักการทำงานของระบบนี้คือใช้เชือกนิรภัยหรือสลิงที่ยึดติดกับโครงสร้าง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเกี่ยวสายช่วยชีวิต (Lanyard) หรือ Carabine ไว้ตลอดเวลา
ประเภทของระบบ Lifeline
1. ระบบแนวราบ (Horizontal Lifeline System – HLLS)
– ใช้กับโครงสร้างที่มีความยาว เช่น หลังคา สะพาน หรือโครงเหล็ก
– ประกอบด้วยสลิงเหล็กหรือเชือกนิรภัยที่ติดตั้งในแนวขนานกับพื้น
– ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างปลอดภัย
2. ระบบแนวดิ่ง (Vertical Lifeline System – VLLS)
– ใช้กับงานปีนขึ้นลง เช่น หอสูง บันได หรือปล่อง
– ผู้ใช้งานต้องสวมเข็มขัดนิรภัยและเชื่อมต่อกับระบบ Lifeline
– มักใช้ร่วมกับ Rope Grab ซึ่งล็อคทันทีเมื่อเกิดแรงกระชาก
3. ระบบแบบถาวรและชั่วคราว
แบบถาวร : ติดตั้งบนโครงสร้างอย่างถาวร ใช้ในโรงงานหรืออาคารสูง
แบบชั่วคราว : ใช้ในงานก่อสร้างหรือซ่อมบำรุง ซึ่งต้องเคลื่อนย้ายบ่อย
—
ข้อดีของการติดตั้งระบบ Lifeline
✅ ลดความเสี่ยงจากการตกจากที่สูง – ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความปลอดภัยสูงขึ้น
✅ ช่วยให้เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ – ทำให้การทำงานสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
✅ รองรับน้ำหนักและแรงกระชากได้ดี – ลดแรงกระแทกเมื่อเกิดการพลัดตก
✅ เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย – ระบบที่ได้รับการรับรองช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย
4. การติดตั้งและบำรุงรักษาระบบ Lifeline
4.1 การติดตั้ง
– ควรติดตั้งโดยวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีใบรับรอง
– ใช้อุปกรณ์ที่ผ่านมาตรฐาน เช่น OSHA, ANSI, EN 795
– ตรวจสอบจุดยึดว่าสามารถรับน้ำหนักได้ตามที่กำหนด
4.2 การตรวจสอบและบำรุงรักษา
– ตรวจสอบก่อนใช้งาน ทุกครั้ง ว่าไม่มีรอยฉีกขาดหรือความเสียหาย
– ทดสอบแรงรับน้ำหนัก อย่างน้อยปีละครั้ง
– เปลี่ยนอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพ เช่น เชือกนิรภัยที่หมดอายุการใช้งาน
5. สรุป
ระบบ Lifeline เป็นโซลูชันสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการตกจากที่สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้งานระบบนี้ร่วมกับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น สายรัดตัวเต็มตัว (Full-body Harness), Carabiner และ Shock Absorbing Lanyard ช่วยให้การทำงานบนที่สูงปลอดภัยมากขึ้น
การติดตั้งและบำรุงรักษาระบบ Lifeline อย่างเหมาะสมตามมาตรฐานสากล จะช่วยลดอุบัติเหตุและปกป้องชีวิตของผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
—
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Occupational Safety and Health Administration (OSHA). (2023). _Fall Protection in Construction_. Retrieved from [www.osha.gov](https://www.osha.gov)
- National Safety Council (NSC). (2023). _Workplace Safety Statistics_. Retrieved from [www.nsc.org](https://www.nsc.org)
- ANSI Z359.6-2016. (2016). _Safety Requirements for Active Fall Protection Systems_.
- European Standard EN 795:2012. (2012). _Protection Against Falls from a Height – Anchor Devices_.
- Petzl Professional. (2023). _Vertical and Horizontal Lifeline Solutions_. Retrieved from [www.petzl.com](https://www.petzl.com)