การใช้สารเคมีในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สารเคมีมีอยู่รอบตัวเราในทุกแง่มุมของชีวิต เริ่มตั้งแต่การใช้สารเคมีในบ้าน การใช้ในอุตสาหกรรม หรือการใช้ในสถานที่ทำงาน การใช้สารเคมีนี้อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าการใช้สารเคมีเป็นไปตามมาตรฐานและปลอดภัย หลักการประเมินความเสี่ยงของสารเคมีและการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
GHS คืออะไร
หลัก GHS หรือ Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals เป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การแรงงานนานาชาติ (ILO) เพื่อให้มีข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่เข้าใจตรงกันทั่วโลก ซึ่งเป็นที่ยอมรับและนำไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเรียง การจำแนกประเภท และการป้ายกำกับสารเคมี
ประเภทสารเคมีตามหลัก GHS
ประเภทสารเคมีตามหลัก GHS ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามผลกระทบความอันตรายในด้านต่างๆ โดยที่แต่ละกลุ่มจะมีสัญลักษณ์และป้ายกำกับที่แตกต่างกันตามลักษณะการเป็นอันตรายของสารเคมีซึ่งมีดังนี้
1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสารเคมีตามหลัก GHS: การจำแนกประเภทประเภทสารเคมีความเป็นอันตรายทางกายภาพ 17 ประเภท
- วัตถุระเบิด (Explosives): เป็นสารหรือส่วนประกอบที่มีความสามารถในการสร้างการระเบิดโดยทันทีเมื่อได้รับการกระตุ้น โดยสารเหล่านี้มักจะมีความต้านทานต่อการจุดไฟ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีความรุนแรงและต่อเนื่อง
- ก๊าซไวไฟ (Flammable Gases): ก๊าซที่สามารถติดไฟและเผาไหม้ได้เมื่อมีการสัมผัสกับแหล่งเชื้อเพลิง มักมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยเนื่องจากการระเบิดหรือการไหม้ได้โดยง่าย ซึ่งมักจะติดไฟที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ความดันบรรยายกาศ 1 บรรยากาศ
- ละอองลอยไวไฟ (Aerosols): สารที่ถูกเก็บไว้ในบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีแรงดันเกิดขึ้นภายใน และมีสารละลายเป็นก๊าซหรือของแข็ง โดยมักจะเป็นเชื้อเพลิงที่ติดไฟง่ายหรือมีความอันตรายต่อสุขภาพ
- ก๊าซออกซิไดส์ (Oxidizing Gases): ก๊าซที่มีความสามารถในการเพิ่มความออกซิเดชั่นของสารอื่นๆ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเผาไหม้หรือการระเบิดเมื่อมีการผสมกับสารอื่นๆ
- ก๊าซภายใต้ความดัน (Gases Under Pressure): สารที่ถูกเก็บไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่มีแรงดันสูงกว่าปกติ การหลุดหรือการเสียดทานของบรรจุภัณฑ์อาจทำให้เกิดอันตราย
- ของเหลวไวไฟ (Flammable Liquids): ของเหลวที่สามารถติดไฟและไหม้ได้ง่ายเมื่อมีการสัมผัสกับแหล่งเชื้อเพลิง มักมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการไหม้
- ของแข็งไวไฟ (Flammable Solids): สารที่เป็นของแข็งและสามารถติดไฟและเผาไหม้ได้ง่าย มักมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการไหม้
- สารที่ทำปฏิกิริยาได้เอง (Self-Reactive Substances and Mixtures): สารหรือสารผสมที่สามารถทำปฏิกิริยาเองได้โดยไม่ต้องมีการกระตุ้นจากสารอื่นๆ มักมีความต้านทานต่อความร้อนและแรงกระแทกต่ำ
- ของเหลวที่ลุกติดไฟได้เองในอากาศ (Pyrophoric Liquids): ของเหลวที่มีความสามารถในการติดไฟโดยเกิดขึ้นเองเมื่อมีการสัมผัสกับอากาศถึงแม้จะมีปริมาณเล็กน้อย มักมีความเสี่ยงต่อความรุนแรงและการเกิดเพลิงไหม้โดยไม่ต้องมีแหล่งเชื้อเพลิง
- ของแข็งที่ลุกติดไฟได้เองในอากาศ (Pyrophoric Solids): ของแข็งที่มีความสามารถในการติดไฟโดยเกิดขึ้นเองเมื่อมีการสัมผัสกับอากาศ มักมีความเสี่ยงต่อความรุนแรงและการเกิดเพลิงไหม้โดยไม่ต้องมีแหล่งเชื้อเพลิง
- สารที่เกิดความร้อนได้เอง (Self-Heating Substances and Mixtures): สารที่มีความสามารถในการสร้างความร้อนเองโดยไม่ต้องมีการกระตุ้นจากภายนอก ทำให้เกิดความร้อนสูงเมื่อมีการสัมผัสกับอากาศหรือน้ำ
- สารที่สัมผัสน้ำแล้วให้ก๊าซไวไฟ (Substances and Mixtures which, in Contact with Water, Emit Flammable Gases): สารหรือสารผสมที่มีความสามารถในการสร้างก๊าซไวไฟโดยเกิดจากการสัมผัสกับน้ำ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้หรือการระเบิด
- ของเหลวออกซิไดส์ (Oxidizing Liquids): ของเหลวที่มีความสามารถในการเพิ่มความออกซิเดชั่นของสารอื่นๆ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเผาไหม้หรือการระเบิดเมื่อมีการผสมกับสารอื่นๆ
- ของแข็งออกซิไดส์ (Oxidizing Solids): สารที่เป็นของแข็งและสามารถเพิ่มความออกซิเดชั่นของสารอื่นๆ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเผาไหม้หรือการระเบิดเมื่อมีการผสมกับสารอื่นๆ
- สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์ (Organic Peroxides): สารที่มีโครงสร้างอินทรีย์ซึ่งมีลิงก์ที่เป็นออกไซด์ มักจะเป็นเชื้อเพลิงที่เร่งการไหม้และมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยสูง
- สารกัดกร่อนโลหะ (Corrosive to Metals): สารที่สามารถกัดกร่อนหรือทำลายโลหะได้เมื่อมีการสัมผัส มักมีความเสี่ยงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมและการบาดเจ็บ
- สารที่มีการหน่วงการระเบิด (Desensitized explosive): วัตถุระเบิดที่ผ่านการปรับปรุงเพื่อลดความอันตรายและการระเบิดโดยการเพิ่มสารประสานที่ทำให้ระเบิดได้ยากขึ้น แต่ยังคงมีความสามารถในการระเบิดเมื่อได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม
2. ประเภทสารเคมีความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 10 ประเภท
- ความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity): เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสหรือการได้รับสารเคมีที่มีความพิษในระดับสูงโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพทันทีหลังการสัมผัส
- การกัดกร่อนการระคายเคืองต่อผิวหนัง (Skin corrosion/irritation): สารที่สามารถทำลายหรือกระตุ้นการระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น การกัดกร่อนหรือการทำให้ผิวหนังระคายเคือง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังและสร้างความเจ็บปวด
- การทำลายดวงตาอย่างรุนแรง / การละคายเคืองต่อดวงตา (Serious eye damage/eye irritation): ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสสารเคมีที่สามารถทำลายดวงตา
- ความไวต่อการแพ้กับระบบทางเดินหายใจหรือผิวหนัง (Respiratory/skin sensitization): เป็นการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการเป็นแพ้ต่อสารเคมีซึ่งอาจทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะต่อระบบทางเดินหายใจหรือผิวหนัง
- การกลายพันธ์ุของเซลล์สืบพันธ์ุ (Germ cell mutagenicity): เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์สืบพันธุ์หรือเกิดการกลายพันธุ์ในเซลล์สืบพันธุ์
- ความสามารถในการก่อมะเร็ง (Carcinogenicity): เป็นการประเมินความเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดการเป็นโรคมะเร็งเมื่อมีการสัมผัสกับสารเคมี
- ความเป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์ุ (Reproductive toxicity): เป็นการประเมินความเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบสืบพันธุ์หรือสามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ได้
- ความเป็นพิษต่อระบบอวัยวะเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง การได้รับสัมผัสครั้งเดียว (Specific target organ toxicity-single exposure): เป็นการประเมินความเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะหรือระบบที่เป้าหมายโดยเฉพาะเมื่อมีการสัมผัสครั้งเดียว
- ความเป็นพิษต่อระบบอวัยวะเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง การได้รับสัมผัสซ้ำ (Specific target toxicity-repeated exposure): เป็นการประเมินความเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะหรือระบบที่เป้าหมายโดยเฉพาะเมื่อมีการสัมผัสซ้ำ
- ความเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างหรือทำให้ปอดอักเสบ (Aspiration hazard): เป็นการประเมินความเสี่ยงที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างหรือเกิดอาการปอดอักเสบเมื่อมีการสูดดมสารเคมีเข้าไปในปอดและหลอดลม
3. ประเภทสารเคมีความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 2 ประเภท
- ความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในน้ำ (Hazardous to the aquatic environment): สสารเคมีหรือสิ่งปนเปื้อนที่ถูกปล่อยลงในทะเลน้ำหรือแม้กระทั่งน้ำจืด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลหรือบนผิวน้ำ เช่น การทำลายของประชากรสัตว์น้ำ หรือการทำลายฮิวมัสในระบบนิเวศน้ำ
- ความเป็นอันตรายต่อโอโซนในชั้นบรรยากาศ (Hazardous to the ozone layer) สารเคมีที่ส่งผลต่อกระทบต่อชั้นบรรยากาศในชั้นโอโซน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการปกป้องโลกจากรังสี UV และการควบคุมอุณหภูมิของโลก การปล่อยสารเคมีหรือก๊าซที่ทำลายโอโซนสามารถทำให้ชั้นโอโซนบรรยากาศบาดเจ็บและมีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บนโลก
การประยุกต์ใช้ GHS
การประยุกต์ใช้ GHS มีความสำคัญต่อหลายภาคส่วน เช่น
- อุตสาหกรรม: การใช้ GHS ในอุตสาหกรรมช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีในการผลิตและกระบวนการอื่น ๆ
- การค้า: GHS ช่วยให้ผู้ค้ารับทราบถึงความเสี่ยงของสารเคมีที่มีในสินค้าและวัตถุอื่น ๆ ที่เข้ามาในการค้าระหว่างประเทศ รู้วิธีการจัดเก็บและข้อควรระวังในการขนส่งสารเคมีอันตราย
- การใช้ในสถานที่ทำงาน: การรู้หลัก GHS ในสถานที่ทำงานช่วยให้ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีในการทำงาน
สรุป
GHS เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประเมินความเสี่ยงและการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีที่มีความปลอดภัย มันช่วยให้ผู้ใช้ทั้งหมดเข้าใจและจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในทุกๆ ด้านของชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
หากคุณสนใจเรียนรู้การทำงานกับสารเคมีอย่างปลอดภัยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ —> อบรมไฟฟ้า